ภาษาเพลงเบื้องต้น101 : สรุปแกรมม่าและคำศัพท์ยอดฮิตในเพลงสากล!

music-grammar
Let's share this :)

เชื่อว่าหลายคนตอนที่เริ่มฟังเพลงสากลใหม่ๆ พอได้อ่านเนื้อเพลงก็อาจจะเกิดความงง ความสงสัยเยอะแยะมากมาย เจอคำแปลกๆ บ้าง บางทีแกรมม่าก็ไม่เหมือนที่ครูสอนมา สรุปที่เขาบอกว่าให้เรียนภาษาอังกฤษจากการฟังเพลงน่ะ มันจะดีจริงๆ หรือเปล่านะ?

จริงๆ แล้วบอกได้เลยว่า ไม่ต้องเป็นกังวลไปเลยฮะ เพราะภาษาที่ใช้ในเพลงมักจะเป็นภาษาที่ใช้พูดจริงๆ เหมือนที่เราพูดภาษาไทยกับเพื่อนเนี่ยแหละ ย่อบ้าง รวบเสียงบ้าง อาจจะไม่ถูกหลักภาษาเป๊ะๆ แบบในราชบัณฑิตยสถาน แต่คนฟังกับคนพูดก็เข้าใจกันเอง การฟังเพลงจะทำให้เราซึมซับวิธีการใช้ภาษาที่ธรรมชาติมากๆ และถ้าเราต่อยอดอีกสักนิด ก็จะเรียนรู้ได้ไม่ยากว่าคำไหนผิดแกรมม่าและจริงๆ ที่ถูกต้องเป็นคำไหน คำไหนไม่ควรหรือไม่ควรเอาไปใช้ เป็นต้น เริ่มจากการอ่านหน้านี้ก่อนเลย ☺

แต่ละเพลงที่สไตล์ต่างกันก็อาจใช้คำในรูปแบบที่ต่างกัน เหมือนคุยกับเพื่อนคนละกลุ่มอะไรทำนองนั้นแหละ บางทีก็บวกกับการเล่นคำต่างๆ เข้าไปด้วย บางทีก็ต้องดัดแปลงคำนิดหน่อยเพื่อให้ลงจังหวะและคล้องจองกันพอดี

แต่นี่แหละคือความสวยงามของภาษาในเพลง และขอบอกอีกทีว่าไม่ต้องกังวลเลย เพราะส่วนใหญ่แล้วมันทำให้ภาษาของเราพัฒนาขึ้นอย่างแน่นอน (ยืนยันจากประสบการณ์ตรง) แถมยังได้เรียนรู้คำเท่ ๆ ที่เอาไปใช้ได้จริงอีกมากมายด้วยล่ะ

และนินจาก็ยังคงยืนยันว่า การฟังเพลงเป็นหนึ่งในวิธีที่เจ๋งที่สุดในการเรียนรู้ภาษา แน่นอน!

 

จากประสบการณ์การเสพติดเพลงสากลมาร่วมสิบปี+++ วันนี้นินจาเลยรวบรวมหลักการเบื้องต้นของภาษาที่ใช้ในเพลงสากล และคำพื้นฐานที่เจอบ่อยมาให้ทุกคนลองดูเป็นแนวทางกัน (ยังไม่รวมพวกคำสแลงต่างๆ นะ อันนั้นเอาไว้ก่อน) และหลายๆ คำก็เอาไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันด้วย หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับหลายๆ คนนะฮะ

 

รอช้าอยู่ไย ไปดูกันเลย~

────────────────────

 

wanna, gonna

ความถี่ที่เจอในเพลง : ★★★★★
ความถี่ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน : ★★★★★

เรียกได้ว่าเป็นคำพื้นฐานของทุกเพลงเลยก็ว่าได้ เพราะเจอเกือบทุกเพลง และยังเป็นคำแรกๆ ที่คนฟังเพลงสากลจะได้เรียนรู้โดยธรรมชาติ ซึ่งสองคำนี้ก็มาจาก want to = อยากที่จะ… และ going to = จะ,กำลังจะ… นั่นเองฮะ

สองคำนี้จะใช้แตกต่างกันนิดหน่อยคือคำว่า wanna เอาไปใช้ตามหลังประธานได้เลย ส่วน gonna จะมี V.to be (is/am/are, was/were) นำหน้ามาก่อนเสมอ (ถึงแม้บางเพลงจะย่อลงไปอีกด้วยการไม่ใส่ V.to be เลยก็ตาม!)

[ วิธีใช้ ]

V.to be + gonna + กริยา
wanna + กริยา

[ ตัวอย่าง ]

I’m gonna love you like I’m gonna lose you. (Like I’m gonna lose you – Meghan Trainor)
= ฉันจะรักเธอให้มากราวกับว่ากำลังจะสูญเสียเธอไป

Do you wanna build a snowman? (Do you wanna build a snowman – Frozen)
= เธออยากปั้นสโนว์แมนมั้ย

 

gon’

ความถี่ที่เจอในเพลง : ★★★☆☆
ความถี่ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน : ★★☆☆☆

ส่วนอันนี้ก็เป็นรูปย่อลงไปอีกของ gonna ใช้เหมือนกันเลยแค่ย่อสั้นลงอีกนิด มักจะเจอในเพลงฮิปฮอปหรือบางเพลงที่ร้องเร็วๆ หรือจำเป็นต้องลดพยางค์เพื่อให้ร้องลงจังหวะอะไรแบบนี้ เหมือนการพูดคำว่า gonna แบบรีบๆ คนเราก็ขยันย่อคำจริงๆ ฮะ

[ วิธีใช้ ]

V.to be + gon’ + กริยา

[ ตัวอย่าง ]

Nobody’s gon’ tell me I can’t. (The Lazy Song – Bruno Mars)
= ไม่มีใครมาบอกว่าฉันทำไม่ได้หรอก

 

I’ma

ความถี่ที่เจอในเพลง : ★★★☆☆
ความถี่ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน : ★★☆☆☆

คำนี้ก็คือรวบย่อมาจาก I’m gonna อ่านออกเสียงว่า *ไอม์-มา* ส่วนความหมายก็ตามเดิมเลยฮะ แต่จะมีใช้เฉพาะกับประธาน I เท่านั้นนะ จะไม่มี You’rea/He’sa/She’sa ฯลฯ เวอร์ชั่นนี้มักเจอในเพลงฮิปฮอปหรือเพลงเซ็กซี่ๆ หน่อยฮะ

ครบแล้วล่ะ 3 เวอร์ชั่นของการพูดว่า “ฉันจะ…” ได้แก่ I’m gonna / I’m gon’ / I’ma เอาไปเลือกใช้กันให้สบายเลย

[ วิธีใช้ ]

I’ma + กริยา

[ ตัวอย่าง ]

I’ma show you how to get it. (Toosie Slide – Drake)
= ฉันจะทำให้ดูว่าต้องเต้นยังไง

 

got

ความถี่ที่เจอในเพลง : ★★★★★
ความถี่ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน : ★★★★★

คำว่า got นั้นลดรูปมาจาก has got/have got อีกทีนึงฮะ ความหมายแปลว่า “มี” เหมือนกับ has/have เลย แต่จะใช้ในภาษาพูดมากกว่า เพราะฉะนั้น has got/have got >> ‘s got/’ve got >> got

ส่วนคำว่า “ไม่มี” ก็มักจะใช้ว่า got no หรือ ain’t got หรือบางทีก็ใช้ร่วมกันเลยเป็น ain’t got no

[ วิธีใช้ ]

got + กรรม 

[ ตัวอย่าง ]

You got something I need. (Something I Need – OneRepublic)
= เธอมีบางสิ่งบางอย่างที่ฉันตามหา

Ain’t got no money in my pocket, but I’m already here. (TikTok – Kesha)
= ไม่มีเงินในกระเป๋าหรอก แต่ฉันก็อยู่ที่นี่แล้ว

 

gotta

ความถี่ที่เจอในเพลง : ★★★★★
ความถี่ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน : ★★★★★

คำนี้ก็ใช้บ่อยมากเช่นกัน แปลว่า “ต้อง” นั่นเองฮะ ลำดับวิวัฒนาการของคำนี้ก็มาจาก “has to/have to” >> has got to/have got to >> ‘s got to/’ve got to >> got to >> gotta

[ วิธีใช้ ]

gotta + กริยา

[ ตัวอย่าง ]

I gotta be strong. (The Climb – Miley Cirus)
= ฉันต้องเข้มแข็งไว้

It’s gotta be you, only you. (Gotta Be You – One Direction)
= คงต้องเป็นเธอ เธอคนเดียวเท่านั้น

I gotta go now. (= I have to go now)
= ฉันต้องไปแล้ว

 

ain’t

ความถี่ที่เจอในเพลง : ★★★★★
ความถี่ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน : ★★★☆☆

นี่ก็เป็นอีกหนึ่งคำที่ในเพลงจะใช้บ่อยมากกกเลยล่ะฮะ คำว่า ain’t ใช้แทนรูปปฏิเสธของ V.to be และ V.to have ได้หมดเลย นั่นคือคำนี้คำเดียวเราสามารถใช้แทน am not/is not/are not/has not/have not ได้หมดเลย อเนกประสงค์สุด ๆ ฮะ

แต่ในชีวิตประจำวันเราจะไม่ค่อยใช้คำนี้กัน ถ้าเราเอาไปพูดก็จะดูแว้นๆ หน่อยฮะ

[ วิธีใช้ ]

ain’t + กริยา/คำนาม
ain’t got + คำนาม

[ ตัวอย่าง ]

Everything means nothing if I ain’t got you. (If I Ain’t Got You – Alicia Keys)
= ทุกสิ่งทุกอย่างก็ไร้ความหมาย ถ้าฉันไม่มีเธอ

บางทีก็อาจจะมี no ใส่แทรกเข้ามาอีกเป็น ain’t got no หรือ ain’t no เพิ่มความปฏิเสธซ้ำซ้อน ซึ่งเป็นเรื่องปกติของเพลงเลยฮะ อย่างเช่นประโยคนี้จากเพลง Tik Tok ของ Kesha

Ain’t got no money in my pocket, but I’m already here. (TikTok – Kesha)
= ไม่มีเงินในกระเป๋าหรอก แต่ฉันก็อยู่ที่นี่แล้ว

This ain’t no fun. (= This is not fun)
= นี่มันไม่สนุกเลยนะ

 

kinda

ความถี่ที่เจอในเพลง : ★★★★☆
ความถี่ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน : ★★★☆☆

จริงๆ มาจากคำว่า kind of ที่แปลว่า “ค่อนข้าง” แต่บางทีในเพลงก็เหมารวมใช้กับ kind ที่แปลว่า type หรือ “แนว” ด้วย เพื่อไม่ให้งงไปกว่านี้ลองไปดูตัวอย่างดีกว่าฮะ

[ วิธีใช้ ]

kinda + คำวิเศษณ์ 
kinda + คำนาม

[ ตัวอย่าง ]

My life gets kinda boring. (Secrets – OneRepublic)
= ชีวิตฉันมันค่อนข้างน่าเบื่อ

This is my kinda music (= my kind of music)
= นี่มันเพลงแนวฉันเลย (คือเป็นเพลงแนวที่ฉันชอบ)

 

outta

ความถี่ที่เจอในเพลง : ★★★★☆
ความถี่ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน : ★★★★☆

อันนี้ก็มาจากคำว่า out of นั่นเอง เป็นอีกหนึ่งในภาษาพูดที่เจอบ่อยพอตัวเช่นกันไม่ว่าจะในเพลงหรือชีวิตประจำวัน 

[ วิธีใช้ ] 

ใช้แทน out of ได้ทุกประโยค

[ ตัวอย่าง ]

Get outta here! (= get out of here)
= ออกไปจากที่นี่เลยนะ

 

ya

ความถี่ที่เจอในเพลง : ★★★★★
ความถี่ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน : ★★★★☆

เป็นอีกคำเท่ๆ ที่ใช้แทนคำว่า you นั่นเองฮะ เอาไว้พูดเวลาอยากดูเท่ หรือไม่ก็ตอนพูดเร็วๆ ที่ได้ยินบ่อยสุดน่าจะเป็น See ya! (= See you!) คำนี้ถ้าเป็นเด็กน้อยตัวเล็กๆ พูดก็จะปกติมากแถมน่ารักด้วยฮะ

[ วิธีใช้ ]

ใช้แทน you ได้เลย และถ้าคำก่อนหน้าลงท้ายด้วยเสียง -t, -ch จะออกเสียงกลายเป็น *cha* เช่น Gotcha! (= Got you!)

[ ตัวอย่าง ]

This will keep you safe daddy, take it with ya. (When I’m Gone – Eminem)
= เอานี่ติดตัวไปด้วยนะ มันจะทำให้พ่อปลอดภัย

 

yo, ma

ความถี่ที่เจอในเพลง : ★★★★★
ความถี่ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน : ★★★★☆

yo = your = “ของคุณ” , ma = my = “ของฉัน” สองคำนี้ก็มักจะเจอในเพลงฮิปฮอป แร็พโย่ว และถ้าเราเอาไปพูดก็จะดูแว้นหรือดูเท่ก็ได้ตามสถานการณ์ สำเนียงจะเหมือนเราตัดเสียงตัวสะกดตรงท้ายออกไปแล้วมันจะฟังดูเร็วและสั้นๆ ลง

[ วิธีใช้ ]

yo/ma + คำนาม

[ ตัวอย่าง ]

That’s ma girl.
= นั่นเด็กฉันเอง

 

’em

ความถี่ที่เจอในเพลง : ★★★★★
ความถี่ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน : ★★★★☆

ง่ายๆ เลย ’em = them = พวกเขา/พวกมัน/พวกนั้น ฯลฯ เป็นการพูดแบบรีบๆ อีกเช่นกัน อ่านออกเสียงว่า *อึม* แบบเบาๆ

[ วิธีใช้ ]

ใช้แทน them ได้เลย เวลาออกเสียงจะเบามากๆ เหมือนแค่เติม m เข้าไป

[ ตัวอย่าง ]

I don’t hate ’em. I still love ’em. (Welcome – Mike Shinoda)
= ผมไม่ได้เกลียดพวกเขาเลย ผมยังรักพวกเขาอยู่

 

’bout

ความถี่ที่เจอในเพลง : ★★★★★
ความถี่ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน : ★★★★☆

เป็นการพูดคำว่า about แบบสั้นๆ

[ วิธีใช้ ]

ใช้แทนคำว่า about ทั่วไป

[ ตัวอย่าง ]

 I know your favorite songs, and you tell me ’bout your dreams. (You Belong With Me – Taylor Swift)
= ฉันรู้จักเพลงโปรดของเธอ ส่วนเธอก็ชอบเล่าความฝันของเธอให้ฉันฟัง

 

’cause

ความถี่ที่เจอในเพลง : ★★★★★
ความถี่ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน : ★★★★☆

เป็นการพูดคำว่า because แบบสั้นๆ 

[ วิธีใช้ ]

ใช้แทนคำว่า because ทั่วไป

[ ตัวอย่าง ]

‘Cause you weren’t there when I was scared. (Losing Grip – Avril Lavigne)
= เพราะเธอไม่เคยอยู่เคียงข้างกันเวลาที่ฉันรู้สึกหวาดกลัว

 

tryna

ความถี่ที่เจอในเพลง : ★★★★☆
ความถี่ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน : ★★★☆☆

เป็นการพูดคำว่า trying to แบบเร็วๆ คำว่า to จะเหลือเสียงเบามากจึงรวมกับ -ing แล้วกลายเป็น -na ไปเลยฮะ เจ๋งมะ

[ วิธีใช้ ]

V.to be + tryna + กริยา

[ ตัวอย่าง ]

What are you tryna do?
= เธอกำลังพยายามทำไรน่ะ?

────

การใช้คำปฏิเสธซ้ำซ้อน [Double negative]

ความถี่ที่เจอในเพลง : ★★★★☆
ความถี่ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน : ★★★★☆

คำปฏิเสธ หรือคำที่มีความหมายเป็นปฏิเสธนั้น จะมีอยู่หลายรูปด้วยกันฮะ ที่เรารู้จักกันดีก็อย่างเช่น

  • กริยาช่วยที่เติม not เช่น am not / is not / don’t / haven’t
  • คำที่มีความหมายปฏิเสธในตัว เช่น nothing / nobody / no more
  • รวมถึงคำว่า ain’t และ no ด้วย

คำปฏิเสธซ้ำซ้อน ก็หมายถึงการใช้คำพวกนี้ซ้ำกันสองคำในประโยคฮะ โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ติดกันก็ได้

[ ตัวอย่าง ]

I just don’t love you no more. = ผมก็แค่ไม่ได้รักคุณอีกต่อไปแล้ว (don’t + no more)
Ain’t got no money in my pocket. = ฉันไม่มีเงินอยู่ในกระเป๋าเลย (ain’t + no)

ตามหลักไวยากรณ์แล้วสิ่งนี้ถือว่าผิด เพราะว่าในประโยคหนึ่งควรมีคำปฏิเสธแค่ครั้งเดียว แต่สำหรับในเพลงสากลแล้วสิ่งนี้คือเรื่องธรรมดามากกก และภาษาพูดทั่วไปคนก็ใช้กันอยู่บ่อยๆ 

การใช้ -in’ แทน -ing

ความถี่ที่เจอในเพลง : ★★★★☆
ความถี่ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน : ★★★★☆

กริยาที่เติม -ing รวมถึงที่ลงท้ายด้วย -ing อื่นๆ ด้วย เช่น nothing, everything, morning ปกติจะออกเสียงท้ายประมาณว่า -อิ้ง แต่ในเพลงมักจะใช้เป็น -in’ และออกเสียง -อิ้น แทน วัยรุ่นทั่วไปเขาก็ใช้แบบนี้กันเป็นปกติเลยในชีวิตประจำวัน มันก็จะฟังดูเท่ๆ สบายๆ อะไรทำนองนี้ฮะ

[ ตัวอย่าง ]

They got nothin’ on you, baby. (Nothin’ On You – B.o.B)
= พวกนั้นเทียบกับเธอไม่ติดเลยที่รัก

I was cryin’ on the staircase, beggin’ you, “Please don’t go, ” (Love Story – Taylor Swift)
= ฉันนั่งร้องไห้อยู่ที่บันได อ้อนวอนเธอว่า “อย่าไปเลยนะ”

 

การละประธาน

ความถี่ที่เจอในเพลง : ★★★★☆
ความถี่ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน : ★★★★☆

บางครั้งเราอาจจะละประธานออกไปได้ฮะ กรณีถ้าคนฟังรู้อยู่แล้วว่าประธานในประโยคคือใคร ส่วนมากจะเป็นตัวเราเอง (I) ไม่ก็คนที่กำลังคุยด้วย (You) เป็นอีกหนึ่งภาษากันเองๆ ที่ไม่ผิดมาก และใช้ได้ทั่วไปเช่นกัน

[ ตัวอย่าง ]

Thought you should know. (Just So You Know – Jesse McCartney)
= (ฉัน) คิดว่าเธอควรรู้ไว้

Think you’re so cool?
= (เธอ) คิดว่าตัวเองเจ๋งมากป้ะ?

การละ V. to be

ความถี่ที่เจอในเพลง : ★★★☆☆
ความถี่ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน : ★★★☆☆

เป็นอีกหนึ่งความย่อของภาษาอังกฤษ โดยในที่นี้คือย่อเอา V.to be หายไปเลย ในชีวิตจริงถ้าเราพูดแบบนี้คนเขาก็จะเข้าใจฮะ แต่ก็จะวัยรุ่นๆ หน่อย และใช้กับกลุ่มคนที่สนิทกันจะดีกว่า ในเพลงก็มักเจอในเพลงแร๊พๆ หน่อยหรือฮิปฮอป

[ ตัวอย่าง ]

We are at a party we don’t wanna be at. (I Don’t Care – Ed Sheeran & Justin Bieber)
= เราอยู่ในงานเลี้ยงที่ไม่ได้อยากมากันเลย

────────────────────

เป็นยังไงกันบ้างฮะ ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียง guideline เบื้องต้นและคำเบสิคที่เจอบ่อย ดังนั้นก็น่าจะช่วยให้ทุกคนเข้าใจมากขึ้นระดับหนึ่งเนอะ หลายคำก็เอาไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันด้วย แต่ในเพลงก็ยังมีพวกคำสแลงและอะไรต่างๆ ให้เราได้พบเจออีกมากมาย ก็ค่อยๆ เรียนรู้กันไปนะฮะ

บนบล็อกนี้นินจาก็จะมีแปลเพลง (ที่ตัวเองชอบซะส่วนใหญ่ ฮ่าๆ) แล้วก็จะมีเลือกมาบางเพลงที่น่าสนใจเพื่ออธิบายเกี่ยวกับการใช้ภาษาเล็กๆ น้อยๆ โดยใช้ตัวอย่างประโยคที่เห็นๆ กันในเพลงนั่นแหละ ใครสนใจเพลงไหนก็ลองเข้าไปอ่านกันได้ในหมวด แปลเพลง และ เรียนภาษาอังกฤษจากเพลง นะ 

★ ★ ★


Let's share this :)

Recommended Articles

2 Comments

  1. Been listening to English songs for many years but, to be honest, I’ve never noticed many thing you listed here. Awesome! Thank you for another great article. Keep ‘em comin!

    1. I’m glad to hear this! Thank you lots for your support, and please stay tuned for many other posts yeah <3

Leave a Reply

Your email address will not be published.