เรียนภาษาอังกฤษฉบับคนไม่มีตังค์ เรียนด้วยตัวเองแทบไม่ต้องใช้เงินสักบาท !

learn language for free
Let's share this :)

ถ้าพูดถึงการเรียนภาษาอังกฤษ เวลาเห็นใครสักคนเก่งภาษาอังกฤษมาก ๆ ทั้งสำเนียงดี แกรมม่าเป๊ะ พูดดูลื่นไหลเป็นธรรมชาติ สิ่งแรกที่หลายคนคิดก็คือ “บ้านเขาน่าจะรวย” “เรียนอินเตอร์มาแน่ ๆ” “คงได้ไปต่างประเทศบ่อย”

นั่นคือความเชื่อที่ว่า “คนเก่งภาษามักเป็นคนรวย”

แต่จากประโยคนี้ เราสามารถตีความโดยใช้หลักตรรกศาสตร์ได้ว่า…

“คนรวยไม่จำเป็นต้องเก่งภาษา” และ “คนเก่งภาษาไม่จำเป็นต้องรวย”

เช่นเดียวกับหลาย ๆ คนที่กำลังอ่านอยู่ นินจาไม่เคยมีโอกาสได้เรียนอินเตอร์หรือแม้แต่โรงเรียนธรรมดาโปรแกรม EP เพราะไม่มีตังค์ แต่มีแรงบันดาลใจอันแรงกล้าหลังจากที่เจอพี่คนหนึ่งที่เรียนอินเตอร์มา แล้วรู้สึกว่ามันเท่มากเลยตอนที่เขาพูดภาษาอังกฤษ อยากเก่งเหมือนพี่เขาให้ได้ ก็เลยมีความมุ่งมั่นทำทุกวิถีทางมาตั้งแต่ตอนนั้น

แต่ละวิธีที่นินจาทำมา คือแทบจะไม่ลงทุนอะไรเลย (หมายถึงเงินนะ) ไม่ได้เรียนตามสถาบันสอนภาษา ไม่ได้ไปต่างประเทศ และที่บ้านก็ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษด้วย  

มีหลายคนเข้าใจผิดนึกว่านินจาเรียน EP มา ไอ้เราก็รู้สึกตลกดีผสมกับภูมิใจ 555 เอาล่ะฮะ วันนี้ก็เลยอยากมาแชร์วิธีโกง เอ้ย ! วิธีเรียนภาษาฉบับคนไม่มีตังค์ ว่านินจาใช้วิธีไหนมาบ้างจนมีทุกวันนี้ได้…

Input & Output

นินจาขอแบ่งเป็น 2 ส่วนก่อน คือ ส่วน Input กับ Output

  1. Input คือส่วนที่เรารับเข้ามา = ฟัง+อ่าน+ดู
  2. Output คือส่วนที่เราสื่อสารออกไป = พูด+เขียน

การฝึกให้ครบทั้ง Input และ Output สำคัญมากฮะ ไม่งั้นเราจะอ่านออกแต่เขียนไม่ได้ หรือฟังออกแต่พูดไม่เป็น

1. Input

เปลี่ยนสิ่งรอบตัวที่คุ้นเคยให้เป็นโหมดภาษาอังกฤษ

💰 ค่าใช้จ่าย : 0 บาท

🔎 สิ่งที่ต้องใช้ : อะไรก็ได้ที่มีตัวหนังสือ

นี่เป็นสิ่งแรกที่ทุกคนทำได้ทันที

สิ่งรอบตัวในที่นี้เนี่ยหมายถึง อะไรก็ตามที่เราต้องมอง พบเจอ ได้ยิน เป็นประจำทุก ๆ วันและเราคุ้ยเคยอยู่แล้ว ลองเปลี่ยนมันมาอยู่ใน “โหมดภาษาอังกฤษ”

อย่างเช่น โทรศัพท์มือถือ เปลี่ยนภาษาในเครื่องเป็นภาษาอังกฤษ

เฟสบุ๊ค ไอจี ทวิตเตอร์ โปรแกรมในคอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่ Google Maps เปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษมันให้หมดเลย

มันง่ายตรงที่ว่าเราคุ้นเคยอยู่แล้วว่าเข้าเฟสบุ๊คไปแล้วจะกดอะไรบ้าง พอเปลี่ยนมาเป็นภาษาอังกฤษ ไอ้ที่เรากดมันก็อยู่ตำแหน่งเดิมนั่นแหละแค่ภาษาเปลี่ยนไป

หาสมุดจดคำศัพท์มาพกติดตัว และเปิดพจนานุกรมให้เป็นนิสัย

💰 ค่าใช้จ่าย : 0 บาท

🔎 สิ่งที่ต้องใช้ : สมุด, ดินสอปากกา, พจนานุกรม (ที่มีอยู่แล้ว)

สิ่งสำคัญที่คนอยากเก่งภาษาควรทำเป็นที่สุด คือการมี “สมุดจดศัพท์” เป็นของตัวเอง

ทุกครั้งที่เจอคำใหม่ที่ไม่รู้จัก นินจาจะเปิดพจนานุกรมทันทีแล้วจดใส่สมุดไว้ จะเล่มเล็กเล่มใหญ่ก็ว่าไป ว่างก็เปิดอ่านเล่นให้มันเข้าหัว แนะนำให้จดใส่สมุดมากกว่าจดใส่มือถือนะ เพราะการเขียนด้วยมือมันทำให้เราจำได้มากกว่า

หรือจะเขียนแล้วแปะไว้ตามที่ที่เราหันไปมองเห็นบ่อย ๆ อย่างเช่นกำแพงข้างเตียงก็ได้ จะได้หันไปมองมันสักนิดก่อนนอน เขาว่าสมองจะประมวลผลได้ดี 555 พอจำได้แล้วก็เปลี่ยนคำไปเรื่อย ๆ แค่นี้เอง

ส่วนพจนานุกรมสมัยก่อนนินจาก็พกเป็นเล่ม ๆ ติดกระเป๋าเลย จะได้หยิบใช้ได้ทันท่วงที เป็นเล่มเล็กไว้ในกระเป๋า ส่วนเล่มใหญ่ไว้ที่บ้าน แต่เดี๋ยวนี้มีแอปพจนานุกรมในมือถือแล้วก็สบายขึ้นเยอะแล้ว

ใช้พจนานุกรมอังกฤษ-อังกฤษ แทนอังกฤษ-ไทย

💰 ค่าใช้จ่าย : แล้วแต่โปรเน็ต

🔎 สิ่งที่ต้องใช้ : อินเตอร์เน็ต

พอขึ้นมัธยมนินจาก็เริ่มฝึกใช้พจนานุกรมอังกฤษ-อังกฤษฮะ แนะนำ Oxford learner’s dictionary หรือไม่ก็ของ Cambridge สองเจ้านี้จะใช้คำอธิบายที่ไม่ซับซ้อน เข้าใจง่าย ฝึกอ่านพวกนี้เยอะ ๆ แล้วพอไปอ่านอะไรที่ซับซ้อนกว่านี้มันจะเข้าใจง่ายขึ้น

แรก ๆ ก็ให้ทำสองสเต็ปคือ…

  1. เปิดอ่านความหมายภาษาอังกฤษก่อน แล้วลองคิดตามว่าถ้าเป็นภาษาไทยมันจะใช้คำว่าอะไรดี
  2. เปิดดูคำแปลภาษาไทยเพื่อคอนเฟิร์มว่าใช่คำที่เราคิดไหม ถ้าไม่ถูกก็จำภาษาไทยไว้แล้วลองกลับไปอ่านความหมายภาษาอังกฤษอีกที

หลายคนอาจจะมองว่าตรงนี้มันลำบาก หลายขั้นตอน แต่พอทำบ่อย ๆ มันจะกลายเป็นนิสัยและทำได้เร็วขึ้นมากจนไม่รู้สึกลำบากอะไรเลย เราแค่ต้องเอาชนะความขี้เกียจเริ่มแรกไปให้ได้ก่อน แล้วจะพบว่าทุกอย่างมันคุ้มค่ากับที่ทำไปจริง ๆ นะ

เสพสื่อต่าง ๆ เป็นภาษาอังกฤษ

💰 ค่าใช้จ่าย : 0 บาท หรือแล้วแต่โปรเน็ต

🔎 สิ่งที่ต้องใช้ : อุปกรณ์ดูหนัง ฟังเพลง ที่มีอยู่แล้วรอบ ๆ ตัว, อินเตอร์เน็ต

เปลี่ยนความบันเทิงในชีวิตให้เป็นภาษาอังกฤษสิฮะ

จากดูหนังพากย์ไทยก็มาดูหนังซาวด์แทร็ก ส่วนเพลงก็เปลี่ยนมาฟังเพลงสากลซะเลย (อ่านวิธีฟังเพลงยังไงให้เก่งภาษาแบบ step-by-step !) ฟังข่าวบนรถก็เปิดช่อง 107.0 / 105.5 เปิดฟังกรอกหูไปเรื่อย ๆ ทุกเวลาที่มีโอกาสให้สมองมันชิน

นอกจากนั้นแล้วก็อยากให้ลองหาอ่านข่าวหรือนิตยสารสำหรับเด็กดูด้วยนะ

สมัยก่อนมันจะมีหนังสือพิมพ์กึ่งนิตยสารชื่อว่า “STUDENT WEEKLY” นินจามาว่ามันดีมาก ๆ มันจะเป็นคอลัมน์ ๆ มีทั้งข่าว เรื่องบันเทิง ความรู้ เพลง ฯลฯ หัวข้อต่าง ๆ คัดมาเพื่อวัยรุ่นและใช้ภาษาไม่ยาก อ่านแล้วสนุก ไม่แน่ใจว่าตอนนี้เขายังตีพิมพ์อยู่ไหม แต่เว็บไซต์ยังเห็นอยู่นะ ลองเข้าไปดูที่ http://student-weekly.com/300516/  ฮะ หรือใครเรียนอยู่ก็ลองถามโรงเรียน/มหาลัยดูว่ามีสมัครสมาชิกไว้ไหม ถ้ามีเราก็ไปยืมอ่านที่ห้องสมุดได้

ดูรายการสอนภาษาอังกฤษตามทีวี

💰 ค่าใช้จ่าย : แล้วแต่โปรเน็ต

🔎 สิ่งที่ต้องใช้ : อินเตอร์เน็ต

จริง ๆ ตอนนี้คงต้องเปลี่ยนเป็น “ดูรายการสอนภาษาอังกฤษตามยูทูป” แล้ว

เมื่อก่อนนินจาดูทุกอาทิตย์เลย รายการโปรดคือ Chris Delivery (ช่อง 5) กับ English Breakfast (Thai PBS) เดี๋ยวนี้ไม่มีฉายแล้ว (แต่ลองไปหาตามยูทูปดูย้อนหลังได้นะ) รายการพวกนี้มันดีตรงที่มันสนุก ทำให้เราได้ความรู้แล้วไม่เบื่อด้วย

ถ้าอันใหม่ ๆ หน่อยก็อย่างเช่น English room ของพี่ลูกกอล์ฟอะไรแบบนี้ฮะ หาในยูทูปโลด

ที่สำคัญก็คือ เวลาเรียนคำศัพท์หรือความรู้อะไรใหม่จากรายการพวกนี้ ก็จดมันลงสมุดด้วยนะ จะได้ไม่ลืมฮะ

หาหนังสือนิยาย การ์ตูน มาอ่าน

💰 ค่าใช้จ่าย : 0 บาท

🔎 สิ่งที่ต้องใช้ : หนังสือนิยายหรือการ์ตูน (ยืมจากห้องสมุด)

ช่วงมอปลายนินจาก็เริ่มหันมาอ่านนิยายภาษาอังกฤษ

เริ่มจากเรื่องที่มันง่าย ๆ ก่อนที่มันเขียนว่าสำหรับ kids หรือ young adult อะไรแบบนี้ หรือง่ายกว่านั้นก็พวกการ์ตูนที่มีภาพเยอะ ๆ (แนะนำ Diary of a wimpy kid มันตลก + กวน + น่ารัก คำไม่ยากเกินไปและใช้ได้จริงไม่หรูหราระดับนิยาย เพราะเป็นเหมือนบันทึกประจำวันธรรมดา)

ถ้าเจอคำศัพท์ใหม่ระหว่างที่อ่าน ให้จดหรือขีดเส้นใต้ไว้แล้วเดาความหมายภาพรวมไปก่อน บางทีเราอาจจะไม่รู้คำศัพท์คำนั้นแต่อ่านทั้งประโยคแล้วเข้าใจก็ได้ แล้วพออ่านจบตอนหรือจบทั้งเล่มค่อยมาเปิดพจนานุกรมความหมายทีเดียว จะทำให้อ่านรู้เรื่องและสนุกกว่าเพราะไม่ต้องมาอ่าน ๆ หยุด ๆ

** แต่ถ้าอ่านเรื่องไหนแล้วรู้สึกว่ามีคำศัพท์ที่ไม่รู้เยอะเกินไป ให้เปลี่ยนเล่มไปเลยฮะ ลดระดับมาอ่านเล่มที่ง่ายกว่าก่อนแล้วค่อย ๆ ขยับขึ้นไปทีละขั้นจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นมันจะทำให้เราไม่อยากอ่านอีก

ฝึกอ่านฉลากของกิน คู่มือการใช้งาน กล่องเครื่องสำอาง ป้ายโฆษณาที่มีภาษาอังกฤษ ฯลฯ

💰 ค่าใช้จ่าย : แล้วแต่ของที่เรากิน/ใช้

🔎 สิ่งที่ต้องใช้ : ของที่เรากิน/ใช้ รอบ ๆ ตัว

ลองนึกดูว่าคนที่ไปอยู่ต่างประเทศเขาต้องอ่านอะไรพวกนี้เป็นภาษาอังกฤษแน่นอน เราก็เลียนแบบเขาสิฮะ

มันไม่ได้หายากขนาดนั้นด้วยนะ ของกินของใช้รอบ ๆ ตัวเราเนี่ยแหละ ส่วนใหญ่มีเขียนทั้งไทยทั้งอังกฤษปนกัน แต่ปกติเราอ่านแค่ตรงภาษาไทยไง ลองอ่านเพิ่มส่วนที่ภาษาอังกฤษแล้วเทียบกับภาษาไทยที่เขาแปลไว้ก็ได้ ตรงวิธีการใช้งาน ส่วนประกอบ สรรพคุณ ที่ผลิต ฯลฯ อ่านบ่อย ๆ แล้วเราจะเจอคำซ้ำ ๆ จนจำได้เอง

คำไหนไม่แน่ใจก็อย่าลืมเปิดพจนานุกรมด้วยนะ

2. Output

ร้องเพลง

💰 ค่าใช้จ่าย : 0 บาท

🔎 สิ่งที่ต้องใช้ : เพลงที่ชอบ, เสียง (ไม่ต้องดีมากก็ได้), พื้นที่ส่วนตัวที่ไ่ม่รบกวนใคร

หลังจากฟังเพลงแล้ว ก็ร้องมันออกมาเลยสิฮะรออะไร

ร้องเล่นไปเรื่อย ๆ มันช่วยฝึกเรื่องสำเนียงและการจำรูปประโยคได้ดีมาก ๆ เลยนะ รวมถึงทำให้มีความมั่นใจและกล้าพูดขึ้นเยอะมาก ลองคิดดูว่าพูดกับร้องเพลงอันไหนยากกว่ากัน ร้องไปร้องมาเผลอ ๆ สำเนียงดีไม่รู้ตัว

คุยแชทเป็นภาษาอังกฤษ

💰 ค่าใช้จ่าย : แล้วแต่โปรเน็ต

🔎 สิ่งที่ต้องใช้ : อินเตอร์เน็ต, คอมหรือมือถือ, เพื่อน

ถามว่าจะให้คุยกับใครล่ะ? ลองดู 3 ทางเลือกนี้

  1. คุยกับโรบอต – ง่ายสุดเลยก็ Siri หรือมีอีกแอปแนะนำชื่อว่า Replica เป็นการสร้างตัวละครขึ้นมาเองเลย ตั้งชื่อได้ เลือกเสื้อผ้าได้ด้วย ถึงจะดูเหงา ๆ หน่อยแต่ฝึกภาษาได้ดีเลยนะ
  2. คุยในเกมออนไลน์ – ใครชอบเล่นเกมก็ไปหาเกมในเซิร์ฟเวอร์ต่างประเทศเล่นเลย เอาที่ได้คุยสื่อสารกันเยอะ ๆ ก็จะดีมาก แรก ๆ อาจจะต้องศึกษาตัวย่อภาษาแชทเยอะหน่อย แต่พอใช้เป็นแล้วจะสนุกมาก
  3. คุยกับเพื่อนที่เก่งภาษาอังกฤษ – ถ้ามีเพื่อนสนิทที่เก่งหน่อย ก็ลองขอให้เพื่อนคุยแชทกับเราเป็นภาษาอังกฤษก็ได้นะ อาจจะนัดกันว่าถ้ามีเรื่องอะไรที่ต้องคุยกันให้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก ถ้าอธิบายยากจริง ๆ ค่อยใช้ภาษาไทย

เขียนไดอารี่

💰 ค่าใช้จ่าย : 0

🔎 สิ่งที่ต้องใช้ : สมุด, ดินสอ/ปากกา, พจนานุกรม (ที่มีอยู่แล้ว)

เมื่อก่อนนินจาชอบเขียนไดอารี่เป็นภาษาไทยอยู่แล้ว ก็เลยลองเปลี่ยนมาเป็นภาษาอังกฤษดู

เป็นวิธีที่ช่วยกระตุ้นให้เราหยิบเอารูปประโยคหรือคำศัพท์ในหัวที่เราเคยเจอมาแต่งเป็นเรื่องราวของตัวเอง แรก ๆ อาจจะคิดช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร เริ่มจากเขียนสั้น ๆ ก่อนก็ได้ ผิดถูกก็ค่อย ๆ ปรับไป แล้วพอเขียนไปสักพักเราจะเขียนได้ยาวขึ้นเอง

ถ้านึกคำไหนไม่ออกก็แค่เปิด dict ได้คำศัพท์เพิ่มอีก

เขียนสรุปหนังสือที่อ่าน หรือหนังที่ดู

💰 ค่าใช้จ่าย : 0 บาท

🔎 สิ่งที่ต้องใช้ : สมุด, ดินสอ/ปากกา, หนังที่ชอบ/หนังสือที่ใช่ (ที่มีอยู่แล้วหรือยืมมา)

อีกหนึ่งวิธีกระตุ้นความคิด ก็คือหาสมุดมาเล่มนึง ทุกครั้งดูหนังหรืออ่านหนังสือจบก็เขียนลงไป (เป็นภาษาอังกฤษนะ) ว่าเราอ่านหรือดูเรื่องอะไรมา ชอบเรื่องนี้ไหม เพราะอะไร เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร ให้คะแนนเท่าไหร่ เขียนไว้อ่านเอง เป็นการทบทวนคำศัพท์ที่ได้จากเรื่องนั้นไปในตัวด้วย

ฝึกถามคำถามเป็นภาษาอังกฤษ

💰 ค่าใช้จ่าย : แล้วแต่โปรเน็ต

🔎 สิ่งที่ต้องใช้ : อินเตอร์เน็ต, ความสงสัยเยอะ ๆ

ช่วงที่อ่านนิยาย ฟังเพลง ดูหนังเยอะ ๆ นินจาจะมีคำถามเยอะมาก สงสัยเต็มไปหมดจนเกรงใจครูอาจารย์ เลยเข้าไปหาคำตอบในอินเตอร์เน็ตเองเลย แล้วก็พบว่ามันเป็นแหล่งหาความรู้ที่สุดยอดมากเลยฮะ มีหลายเว็บที่ให้เราเข้าไปตั้งกระทู้ถามแล้วก็จะมีฝรั่งมาตอบให้ฟรี ๆ อย่างเช่น wordreference.com, hinative.com, quora.com ฯลฯ

แรก ๆ ก็ดูว่าคนอื่นเขาถามกันยังไงแล้วก็ลอก ๆ มา พอคล่องแล้วจะสบายมากเลยฮะ อยากถามอะไรตอนไหนก็ได้ ที่สำคัญคือฟรี !!

เข้าชมรมที่ใช้ภาษาอังกฤษ

💰 ค่าใช้จ่าย : 0 บาท

🔎 สิ่งที่ต้องใช้ : ความกล้าและเปิดใจ

ชมรมจะรวมกลุ่มคนที่สนใจอะไรเหมือน ๆ กันมาทำกิจกรรมด้วยกัน ทำให้อะไร ๆ สนุกขึ้นเยอะเลย แถมทำให้เรากล้าขึ้นด้วย หลายครั้งมันทำให้เราได้อยู่ใกล้คนเก่ง ๆ ด้วยนะ

ไม่ว่าจะเป็นชมรมภาษาอังกฤษเฉย ๆ ชมรมคอร์สเวิร์ด ชมรมร้องเพลงสากล ชมรมละครเวทีภาษาอังกฤษ ชมรมโต้วาทีภาษาอังกฤษ และอีกมากมาย ลองดูว่าโรงเรียนหรือมหาลัยเรามีชมรมอะไรน่าสนใจบ้างก็ลองไปเข้าร่วมดูเลย

ฝึกแปลไทยเป็นอังกฤษ

💰 ค่าใช้จ่าย : 0 บาท

🔎 สิ่งที่ต้องใช้ : แล้วแต่เลือก

เทคนิคสุดท้ายที่อยากแนะนำก็คือ ให้ลองเอาอะไรที่เราเจอเป็นภาษาไทย มาดัดแปลงเป็นภาษาอังกฤษนั่นเองฮะ

ฟังดูยิ่งใหญ่ แต่ความจริงคือแค่อะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ได้

อย่างเช่น เราอยากพูดว่า หิวจะตายอยู่แล้ว ก็ลองคิดว่าภาษาอังกฤษจะพูดยังไงดี very hungry? hungry to die? dying hungry? จนมารู้ว่าอ๋อมันคำว่า starving ที่แปลว่าอดอยาก หรือแปลว่าหิวจนจะตายแล้วได้ด้วย

หรือใครอยากท้าทายกว่านั้น ก็แปลอะไรที่ยาว ๆ หน่อย อย่างเช่นนินจาเคยเอาคำนำของหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์มาแปลเล่นตอนว่าง 555 ผิดบ้างถูกบ้างก็ไม่เป็นไร สนุกดี

ประเด็นก็คือ มันจะทำให้เราเกิดความสงสัย เพราะถ้าเราสงสัยเร็ว เราจะรู้เร็ว ลองก่อน ก็รู้ก่อน แต่ถ้าไม่สงสัยก่อน ก็ไม่รู้ว่าจะรู้เมื่อไหร่ จริงไหม


และทั้งหมดนี้ก็เป็นวิธีต่าง ๆ ที่นินจาเคยใช้มาแล้วมันทำให้เราเก่งภาษาขึ้นได้โดยไม่ต้องใช้เงินเลย (หรือใช้น้อยมาก) แต่มันก็อาจจะมีวิธีอื่น ๆ อีก ใครรู้ก็มาแชร์กันได้นะ

นอกจากนั้น นินจาก็ไม่ได้จะบอกว่าการเสียเงินไปเรียนภาษาตามสถาบันต่าง ๆ หรือเรียนอินเตอร์ หรือไปต่างประเทศ มันสิ้นเปลืองหรืออะไรเลยนะ แค่อยากบอกว่าการที่ต้นทุนทรัพย์น้อยไม่ได้แปลว่าเราไม่มีโอกาสเก่งภาษาเท่าคนอื่น อยู่ที่ว่าเราพยายามมากแค่ไหนและหารูปแบบการเรียนที่เหมาะกับตัวเองได้รึเปล่า นินจาเชื่อว่าทุกคนต้องเก่งได้แน่นอนฮะ


Let's share this :)

Recommended Articles

Leave a Reply

Your email address will not be published.