ความทรงจำตอนเด็ก ๆ ของนินจาเกี่ยวกับการฝึกภาษาอังกฤษก็คือ ใครอยากเก่งต้องเป็นคนที่กล้ามาก
ทั้งกล้าพูด กล้าแสดงออก กล้าเข้าหาฝรั่ง แล้วก็ต้องไม่แคร์เวลาที่พูดสำเนียงชัด ๆ แล้วโดนคนอื่นแซว ภาพของคนที่เก่งภาษาส่วนใหญ่ที่นินจาเห็นก็เลยมักเป็นกลุ่มคนที่ค่อนข้างกล้าแสดงออกและเปิดเผยตัวเองพอสมควร
นินจาเคยเป็นเด็กคนหนึ่งที่เวลาจะเข้าไปคุยกับฝรั่งทีก็เขินมาก พอโตขึ้นถึงจุดหนึ่งที่รู้สึกว่าต้องพูดภาษาอังกฤษให้ได้ นินจาก็เลยได้พยายามลองวิธีต่าง ๆ มาเยอะมาก และพบว่าจริง ๆ แล้ววิธีเรียนภาษามันมีเยอะกว่าที่เราคิด โดยที่ไม่จำเป็นต้องพยายามทำอะไรที่มันไม่เป็นตัวเราเองเลย คนเราสนุกกับการเรียนรู้ในแบบของตัวเองได้
เลยอยากจะมาแนะนำเหล่า introvert ทั้งหลาย ว่ามันก็มีหนทางสู่ความเก่งฉบับคนขี้อาย (หรือคนที่ชอบเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง) อย่างเราๆ เหมือนกันนะ !
แค่ลองมองรอบๆ ตัว แล้วจะพบว่ามีอะไรหลายอย่างที่เป็นแหล่งเรียนรู้ดี ๆ ให้เราได้เต็มไปหมดเลย
ไม่กล้าคุยต่อหน้า ก็คุยในแชทแทนละกัน
จะสื่อสารเป็นได้เราก็ต้องหาคนมาคุยด้วย แล้วการหาคนมาคุยด้วยเนี่ยมันง่ายซะที่ไหนกัน
วิธีที่ง่ายกว่าก็คือการหาคนคุยออนไลน์นั่นเอง เพราะการไม่ต้องเจอหน้ากันตรงๆ มันทำให้ความตื่นเต้นลดลงไปมากมาย พอความตื่นเต้นและความกังวลลดลงเราก็จะมีสติและเกิดความกล้าที่จะลองใช้ภาษามากขึ้น
ในโลกออนไลน์เราอยากให้ตัวตนเราเป็นยังไงก็ได้ นี่คือข้อดีที่เราสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการฝึกภาษา ทำให้ไม่ต้องกลัวผิดกลัวถูก เราทดลองใช้ภาษาหลาย ๆ แบบได้โดยไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาจับผิดหรือมองเรายังไง
การหาคนคุยด้วยออนไลน์มีหลายช่องทาง ง่ายสุดหลายคนอาจจะนึกถึงห้องแชทออนไลน์ (chat room) แต่อันนี้นินจาไม่ค่อยอยากแนะนำเท่าไหร่เพราะมันจะมีพวก cybersex แฝงมาอยู่เสมอ ๆ (พูดจาล่อแหลมทางเพศ) ซึ่งเป็นอะไรที่หลีกเลี่ยงได้ยาก
นินจาเลยอยากแนะนำเป็นพวก community ออนไลน์มากกว่า เช่น เกมออนไลน์ หรือ เว็บบอร์ดที่แบบคล้ายๆ พวกเว็บเด็กดี มันจะมีฟังก์ชั่น chat กับคนอื่น ๆ ได้ด้วย ลองนึกภาพเหมือนเว็บไทยนั่นแหละแต่เปลี่ยนเป็นเว็บของต่างประเทศ เราก็จะได้เจออีกสังคมหนึ่งที่มีแต่คนพูดภาษาอังกฤษกัน
ท่องโลกกว้างในสังคมที่เราเลือกเองได้ ผ่านการอ่านหนังสือ
โลกนี้มีอะไรให้เรียนรู้เยอะมาก นอกจากการออกไปเรียนรู้กับผู้คนแล้ว การอ่านหนังสือก็เป็นวิธีที่ดีไม่แพ้กัน
ไม่ว่าจะเป็นหนังสือเรียน นิตยสาร หรือนิยาย การ์ตูน อะไรก็ได้ ทุกอย่างล้วนบันทึกมาจากการสังเกตโลก ผู้คน สิ่งรอบตัวของคนเขียน รวมกับจินตนาการที่แต่งเติมลงไป เหมือนมีคนไปสังเกตทุกอย่างแล้วเอามาเล่าให้เราฟังผ่านตัวอักษร
การที่เราได้อ่านหนังสือภาษาอังกฤษก็เหมือนได้เข้าไปอยู่ในโลกของคน ๆ หนึ่งที่คิดเป็นภาษาอังกฤษ เราก็จะได้ซึมซับคำศัพท์ รูปประโยค สำนวนต่าง ๆ ตามประเภทหนังสือที่เราอ่านหรือสไตล์ของคนเขียน
ข้อดีอีกอย่างของการฝึกจากการอ่านหนังสือคือ ทำให้เรารู้ว่าคำศัพท์แต่ละตัวสะกดยังไง เขียนยังไง และคุ้นเคยกับการอ่านตัวหนังสือที่เป็นภาษาอังกฤษ เวลาไปเจอตัวหนังสือภาษาอังกฤษเยอะ ๆ ที่ไหนเราก็จะไม่ตกใจ
ใช้เพลงเป็นครูสอนการฟังและออกเสียง
การฝึกภาษาจากเพลงเป็นหนึ่งในวิธีที่ได้ผลมาก ๆ
เริ่มจากหาเพลงที่ชอบมาฟัง ฟังเรื่อยๆ จนเริ่มร้องเป็น ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน พอร้องเพลงได้แล้วความเขินอายในการใช้ภาษาอังกฤษมันลดลงไปเยอะเลยด้วย จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับคนที่ไม่กล้าใช้ภาษาอังกฤษ
เพราะเหตุผลนึงนินจาว่ามันเกิดจากความไม่มั่นใจในการออกเสียงของเราด้วยนะ แต่พอได้ร้องเพลงแล้วเหมือนเราก็จะคุ้นชินกับสำเนียงและตัวภาษาเอง ทำให้เวลาจะฟังจะพูดก็มั่นใจมากขึ้น
ใครอยากรู้เทคนิคการฟังเพลงให้เก่งภาษา ลองตามไปอ่านบทความนี้ได้เลยฮะ ฟังเพลงให้เก่งภาษา ต้องฟังแบบไหน ? ตอนที่ 1 : เทคนิคการฝึกภาษาจากเพลงสากลแบบ step-by-step !
ดูคนอื่นคุยกัน ผ่านหนังและซีรีส์
นินจาว่าการดูหนังก็เหมือนการสังเกตการณ์ เหมือนเราไปงานเลี้ยงแล้วไม่ได้เข้าไปคุยกับใคร แต่คอยมองว่าคนนู้นคนนี้เขาทำอะไรกัน พอมองจากมุมของคนข้างนอก บางทีมันทำให้เราสังเกตอะไร ๆ ได้ละเอียดกว่าอีกนะ
เราสามารถเริ่มได้ง่าย ๆ ด้วยการดูหนังที่เป็นภาษาอังกฤษซับไทย เริ่มจากพวกการ์ตูนก่อนก็จะฟังง่ายหน่อย เรื่องไหนก็ได้สนุกทุกเรื่องแหละถ้าเป็นการ์ตูน แล้วค่อย ๆ ขยับเป็นภาพยนตร์ที่เราเคยดูแต่เอามาดูอีกรอบเป็นภาษาอังกฤษก็ได้
สิ่งที่เราจะได้จากหนังและซีรีส์ก็คือ บทสนทนาที่ใช้จริงในชีวิตประจำวัน รวมถึงได้ฝึกสังเกตอารมณ์ ความรู้สึก ของตัวละคร ผ่านสีหน้า ท่าทาง น้ำเสียง เพราะคำหรือประโยคแต่ละคำมีความหมายเปลี่ยนไปได้เลยนะถ้าพูดด้วยคนละอารมณ์กัน ดังนั้นตรงนี้เราฝึกจากการดูหนังได้
เขียนไดอารี่ ฝึกคิดเป็นภาษาอังกฤษ
ถ้าอยากฝึกเล่าเรื่องราวของตัวเองเป็นภาษาอังกฤษให้ใครสักคนฟัง ใครคนนั้นจะเป็นสมุดไดอารี่น้อย ๆ ของเราก็ได้นะ
ไดอารี่ไม่คอยจับผิดเรา มีแต่คอยรับฟัง และเป็นพื้นที่ให้เราระบายความรู้สึกได้เต็มที่ ถ้าใครอ่านหนังสือภาษาอังกฤษมาสักระยะแล้ว การเขียนไดอารี่จะง่ายขึ้นมากเลยด้วยนะ เราสามารถฝึกเอาคำหรือรูปประโยคที่เคยอ่านมาดัดแปลงใส่เรื่องราวของเราลงไปได้
ถ้ามีคำไหนนึกไม่ออกว่าเขียนเป็นภาษาอังกฤษยังไง ก็ลองเปิดพจนานุกรมบ่อย ๆ นอกจากได้ฝึกคิดเป็นภาษาอังกฤษแล้ว ยังมีโอกาสได้คำศัพท์เพิ่มเยอะแยะเลยด้วย
ทั้งหมดนี้ก็เป็นแนวทางฝึกภาษาอังกฤษสำหรับคนที่รู้สึกว่า การเริ่มฝึกภาษามันต้องใช้พลังงานและความกล้าเยอะเหลือเกิน วิธีข้างบนนี้เป็นวิธีที่นินจาเคยทำมาแล้วรู้สึกว่า มันทำให้เราเริ่มต้นได้ง่าย และระดับความกล้าของเราจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเมื่อเรามีความมั่นใจในการใช้ภาษามากขึ้น ถึงตอนนั้นเราก็จะกล้าสื่อสารกับคนอื่นมากกว่าเดิม เพราะสุดท้ายแล้วจุดประสงค์ของภาษาก็คือการสื่อสารกับผู้คนนั่นแหละ